
ฟุตบอลอังกฤษ คือเป็น
1 ในเทพที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก
ประกอบกับการกล่าวอ้างตัวเองว่าคือต้นตำหรับการถือกำเนิดกีฬาลูกหนัง นั่นทำให้อังกฤษออกอาการกร่างพองโตมาตลอด จากแชมป์โลก 1966
เรื่อยมาจนถึงวันนี้ พลพรรคทรีไลอ้อนส์ไม่มีแชมป์ใดเพิ่มมาติดตัวทั้งสิ้น แต่แฟนบอลของพวกเขาก็ยังคงโม้ขี้ฟันไม่เสื่อมคลาย ด้วยเหตุผลทั้งมวลนี้เองมันก็ทำให้แฟนบอลจากชาติอื่นๆ ออกอาการหมั่นไส้ทีมชาติอังกฤษว่าจะมั่นหน้ามั่นโหนกไปถึงไหน ทั้งๆที่บางครั้งก็โชว์ห่วยตกรอบตั้งแต่เนิ่นๆ
ทรงบอลไม่เป็นโล้เป็นพาย เรียกได้ว่ามั่นใจแต่ละครั้งไม่มองถึงความเป็นจริงเอาเสียเลย
แต่นั่นคงไม่ใช่เคสที่เกิดขึ้นกับทีมชุดปัจจุบันอย่างแน่นอน
4 จุดแข็งทีมชาติ ฟุตบอลอังกฤษอาจก้าวไปถึงแชมป์ยูโร2020
มองข้ามแฟนบอลชาวเมืองผู้ดีไป เราต้องยอมรับว่าทีมของแกเร็ธเซาธ์เกต ชุดนี้
มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้หวังลมๆ แล้งกับทัวร์นาเมนต์ยูโร2020 ที่กำลังจะมาถึง เพราะมันคือช่วงเวลาที่ชาติอื่นๆ
หลายๆชาติ ก็เชื่อเช่นกันว่าสิงโตคำรามชุดนี้ มีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้จริงๆ
เสียที ส่วนจะมีปัจจัยอะไรบ้าง เราไปติดตามกันได้เลยครับ
1. ทีมเวิร์คดีเยี่ยม ปรัชญาชัดเจน
ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาอังกฤษ ไม่เคยขาดแคลนแข้งชั้นยอด และมีบางช่วงที่น่ากลัวถึงขั้นเป็นทีม โกลเด้น
เจเนอเรชั่น แต่พวกเขาก็ไม่เคยไปถึงดวงดาว นั่นก็เพราะทัพผู้ดี เป็นทีมที่ต่างคนต่างเล่น ไม่มีทีมเวิร์คที่เข้าขารู้ใจกันจริงๆ เลย
ขณะที่แนวทางการเล่นฟุตบอลก็ออกแนวๆ พยายามเล่นบอลบนพื้น แต่ทำได้ไม่ไหลลื่น
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมชุดปัจจุบันอีกต่อไป เพราะทีมของเซาธ์เกตนั้นมีกลุ่มนักเตะอายุรวมๆ ที่ใกล้เคียงกัน สอดประสานมองตาก็รู้ใจ และวางแท็คติกชัดเจนว่าจะใช้ทีเด็ดธรรมชาติของตัวเองในเรื่องลูกเซตพีซลูกโด่งเป็นอาวุธหลัก แถมที่เพิ่มเติมเข้ามาในช่วงหลังจบเวิลด์คัพ2018 ก็คือการเคาะบอลขึ้นเกมรุกที่ฉับไวและแม่นยำ
ก็ยิ่งทำให้ทีมชุดนี้ครบเครื่องเข้าไปอีก
2.
สปิริตดี
ไม่มีแข้งมาเฟีย
ปัญหาของจุดแข็งทีมชาติอังกฤษในหลายๆครั้ง ก็คือบรรยากาศภายในของทีมที่มีการแบ่งชนชั้นค่อนข้างชัด โดยเฉพาะระหว่างแข้งซูเปอร์สตาร์กับแข้งรุ่นใหม่ นั่นก็ทำให้ทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบัน
มีความสมัครสมานสามัคคีมาก แถมกุนซืออย่างเซาธ์เกตก็มีความเป็นธรรม
เห็นได้จากเคสล่าสุด ที่จัดการลงดาบราฮีมสเตอร์ลิ่งผ่านสื่อ จากคดีที่ไปมีเรื่องกับโจโกเมซ พร้อมกับมีการเคลียร์กันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
นั่นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกแฟร์ ถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
และส่งผลต่อฟอร์มการเล่นโดยตรง
3. ขุมกำลังที่ดูดีมีชาติตระกูล
ถ้าย้อนกลับไปตอนก่อนเวิลด์คัพ2018 ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นขุมกำลังฟุตบอลอังกฤษ ชุดที่ป็นทีมชุดที่ขี้เหร่ที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์นำโดยนักเตะอย่างแฮร์รี่แม็คไกวร์,จอร์แดนพิ๊คฟอร์ด,คีย์แรนทริปเปียร์,
มาร์คัสแรชฟอร์ด, จอร์แดนเฮนเดอร์สัน และคนอื่นๆที่ดีกรีเป็นรองตำนานแข้งอย่างเจอร์ราร์ด, แลมพาร์ด,โอเว่น, เฟอร์ดินานด์,เทอร์รี่ หรือ เชียเรอร์อย่างชัดเจน แต่ลูกเป็นขี้เหร่ของเซาธ์เกตดันทำผลงานได้สวยหรูสุดๆ
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่มีสายเลือดใหม่อย่างดีแคลนไรซ์ ,แทมมี่ อับบราฮัม
,ไทโรนมิงส์ หรือจาดอนซานโช่พุ่งพรวดขึ้นมา นั่นก็ยิ่งทำให้ขุมกำลังของสิงโตดูดีขึ้นไปแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับ ทีมอย่างฮอลแลนด์ หรืออิตาลีเลยด้วยซ้ำ
4. ประสบการณ์,รวมทีมกันมานาน
1 ในฟุตบอลอังกฤษของส่วนใหญที่คว้าแชมป์สำเร็จ ก็คือพวกเขาจะต้องผ่านประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์มาแล้วบ้าง
และควรมีส่วนผสมของดาวรุ่งและตัวซีเนียร์ที่สมดุล ซึ่งอังกฤษชุดนี้ก็ตอบโจทย์ดังกล่าวเป๊ะ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทะลุถึงรอบรองชนะเลิศเวิลด์คัพ2018
ที่รัสเซียซึ่งนักเตะหลายๆคนในยุคนั้นก็กลายเป็นตัวเก๋าในยุคนี้ อาทิเช่นแม็คไกวร์ ,สเตอร์ลิ่ง , แฮร์รี่
เคน ,เฮนเดอร์สัน ,พิ๊คฟอร์ด
และเมื่อรวมกับนักเตะหน้าใหม่ที่พิสูจน์แล้วว่าอยู่ในระดับคุณภาพอย่างเมสันเมาท์
, จาดอนซานโช่ , เจมส์แมดดิสัน , เทรนท์อเล็กซานเดอร์อาร์โนลด์ หรือเบนชิลเวลล์ มันก็ยิ่งทำให้เคมีย์ของทรีไลอ้อนส์แลดูอันตรายเข้าไปอีก
นั่นคือ 4 ปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เชื่อได้ว่าอังกฤษชุดนี้ มีศักยภาพที่จะสามารถทำได้เหมือนที่แฟนบอลของพวกเขาโม้จริงๆ
ส่วนจะทำได้ตามนั้นหรือไม่ เราคงต้องรอติดตามกันครับ
ติดตามข่าวฟุตบอลอังกฤษ และข่าวฟุตบอลยูโร2020แบบเกาะติดได้ทางเว็บ t-ibcbet.com